เกษตรทฤษฎีใหม่ พออยู่ พอกิน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ความเป็นมา : จากการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงทราบถึงปัญหาและความเดือนร้อนของเหล่าพสกนิกรชาวเกษตรกร ที่มีอยู่มากมาย จึงได้พระราชทานแนวคิดทฤษฎีใหม่ เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเองได้
การเกษตรทฤษฎีใหม่จึงได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2532 ณ วัดมงคลขัยพัฒนา จ.สระบุรี และถูกนำมาขยายถ่ายทอด ให้เกษตรกรนำไปเป็นแบบอย่าง รวมทั้งขาวบ้านในพื้นที่ห้วยทรายด้วย
หลักการ : เกษตรทฤษฎีใหม่ คือการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้กับการทำเกษตร แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ เป็นระบบการทำการเกษตรที่มีกิจกรรมผสมผสาน แทนการปลูกอย่างเดียว ปลูกพืชผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ เพื่อให้มีรายได้ตลอดปี
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่ มีถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่
- ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น เป็นขั้นของการพึ่งพาตนเอง ใช้น้ำกับที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกษตรกรมีอาหารอย่างพอเพียงสำหรับการบริโภคภายในครอบครัว โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน 30 30 30 10 ได้แก่
- ก่อนอื่นต้องแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ขุดสระกักเก็บน้ำ 30% เพื่อให้มีน้ำใช้สม่ำเสมอตลอดปี ในการเพาะปลูก เลี้ยงปลา ไว้กิน ไว้ขาย มีรายได้
- ปลูกข้าว 30% เก็บไว้กินตลอดปี ไม่ต้องซื้อลดรายจ่าย ที่เหลือก็เอาไปขาย มีรายได้เพิ่มอีกทาง
- อีก 30% ปลูกไม้ผลยืนต้น พืชผัก พืชสมุนไพร พืชสวนครัว ผสมผสานกัน มีผลผลิตไว้กินไว้ใช้ และขายได้ตลอดปี
- เป็นที่อยู่อาศัย 10% และทำคอกสัตว์ เลี้ยงหมู่ เลี้ยงไก่ รวมถึงการทำเรือนเพาะชำ ทำยุ้งฉางเก็บผลผลิตการเกษตร ไว้รอขาย นี่ก็เป็นรายได้ หลังจากทำจนได้ผลผลิตดีและพึ่งตนเองได้แล้ว ก็พัฒนาสู่ขั้นตอน
- ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เป็นขั้นของการพึ่งพิงอิงกัน คือ การรวมกลุ่มกันในชุมชน จัดตั้งสหกรณ์ เกษตรกรร่วมมือกันในด้านการเพาะปลูก การจัดการแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการสำหรับชุมชน เช่น กองทุนเงินกู้ยืม บริการด้านสาธารณสุขและอนามัย กองทุนเพื่อการศึกษา เป็นต้น จึงเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร
- ทฤษฎีใหม่ขึ้นที่ 3 เป็นขั้นของความก้าวหน้า สู่ธุรกิจชุมชน เป็นการติดต่อกับแหล่งเงินทุน เช่น ธนาคาร บริษัทเอกชน รวมทั้งองค์กร และมูลนิธิต่างๆ ทำให้มีเงินทุนในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตการเกษตร
ประโยชน์ของการทำเกษตร ในรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ เลี้ยงตัวเองได้ พออยู่พอกิน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และช่วยให้เกิดการพัฒนาทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
นับเป็นแสงแห่งพระบารมีที่จะส่องสว่างกลางใจปวงชนชาวไทยตราบนิรันดร