Last updated: 4 ก.พ. 2565 | 2337 จำนวนผู้เข้าชม |
ป่าพรุเสื่อมโทรม สะสมดินเปรี้ยว แกล้งดินอย่างเดียว พัฒนาได้ยั่งยืน
ความเป็นมา : เมื่อครั้งอดีตพื้นทางภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.นราธิวาส เคยเป็นป่าพรุ ซึ่งมีน้ำขัง และลึกลงไปใต้น้ำ คือ พื้นดินอินทรีย์ ที่มีซากพืชเน่าเปื่อยทับถมกันเป็นเวลานาน จนเกิดสารไพไรท์ เมื่อสารชนิดนี้สัมผัสกับออกซีเจนในอากาศ จะทำให้เกิดกรดกำมะถันที่เป็นอันตรายต่อพืช ดังนั้นน้ำที่ขังอยู่ในป่าพรุ จึงเป็นเสมือนกำแพงกั้นไม่ให้สารไพไรท์ได้สัมผัสกับออกซีเจนในอากาศ ระบบนิเวศในป่าพรุ จึงสามารถรักษาความสมดุล ตราบใดที่ยังมีน้ำ แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไป น้ำลดดินแห้ง เจ้าสารไพไรท์จึงได้เจอกับออกซีเจน ก่อปฏิกิริยาเคมี จนเกิดกรดกำมะถัน สะสมอยู่ในชั้นดิน ทำให้พื้นที่ทำกินกลายเป็นดินเปรี้ยวจัด ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ประมาณการว่าเฉพาะจังหวัดนราธิวาสนั้นมีพื้นที่ดินเปรี้ยวจัดกว่า 300,000 ไร่เลยทีเดียว
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศ มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงตระหนักถึงความเดือนร้อนของราษฎร พระองค์มีพระราชดำริให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2525 เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนาที่ดินเปรี้ยวจัด ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้
หลักการ : ทฤษฎีแกล้งดิน นับเป็นโครงการแรก ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง ด้วยกระบวนการแกล้งดินนี้ ได้แปรเปลี่ยนผืนดินเปรี้ยวจัดไร้ค่า ให้กลายเป็นพื้นที่ทำการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ ก่อเกิดต้นแบบและองค์ความรู้ และเป็นศูนย์รวมกำลังของเจ้าหน้าที่ด้านการเกษตร สังคม มารวมอยู่ด้วยกัน เป็นศูนย์กลางบริการข้อมูลและสาธิต ที่ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ราษฎร เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัด ในพื้นที่ทำกินของตนเอง และมีการศึกษาทดลองเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสหกรรมขนาดครอบครัวแบบครบวงจร ในเรื่องยางพาราและปาล์มน้ำมัน อันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ด้วย
กิจกรรมของศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีดังนี้
ศูนย์ศึกษาพัฒนาพิกุลทอง ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับทฤษฎีแกล้งดิน ซึ่งได้พลิกฟื้นผืนดินเปรี้ยวจัด ให้กลายเป็นแผ่นดินที่มีความเจริญงอกงาม และสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน
นับเป็นแสงแห่งพระบารมีที่จะส่องสว่างกลางใจปวงชนชาวไทยตราบนิรันดร